หากร่างกายขาดสารไฮยาลูรอนิก ผิวหนังของเราก็จะขาดความชุ่มชื้น แห้งและบางลง รวมไปถึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนี้ สารดังกล่าวยังทำงานเกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายคนเราจะมีการเสื่อมลงของผิวหนังและระบบการทำงานต่าง ๆ เมื่ออายุ 20-25 ปี เฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น สารไฮยาลูรอนิก แอซิด จึงเป็นสารที่สามารถใช้ทดแทนในส่วนที่ร่างกายผลิตได้น้อยลง เพื่อคงความแข็งแรงของผิว ให้ผิวยืดหยุ่นและเต่งตึงแบบโกงอายุกันเลยก็ว่าได้
การฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทจะเหมาะกับการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกวันนี้ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทย (อัปเดตล่าสุด) จำเป็นต้องเป็นสารเต็มเต็มชนิด Hyaluronic acid (HA) เท่านั้น
Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่ได้รับความนิยมจากแพทย์ทั่วโลกในการนำมาใช้ฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ผลิตโดยบริษัท Allergan ที่เป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์ความงามจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย. ประเทศไทย และนำเข้าโดย บริษัท Allergan ประเทศไทย โดยใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology
Juvederm มีทั้งหมด 7 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมและติดตลาดอย่างมากในปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 2 รุ่น คือ
เนื้อฟิลเลอร์รุ่นนี้มีความแข็งและมีความหนาแน่นสูง อิ่มฟูปานกลาง ที่สำคัญคือ ได้รับการออกแบบมาสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและคางโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ฉีดฟิลเลอร์ขมับกับริมฝีปากเพื่อความอิ่มฟู รวมถึงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อช่วยเติมเต็มจากการยุบตัวของกระดูกได้เช่นกัน โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
เป็นรุ่นที่ออกแบบมาให้มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่เนียนละเอียด นิ่ม มีความยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใต้ตา และริมฝีปาก โดยผลลัพธ์หลังฉีดสามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดูแลและการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคนด้วย
Hyabell อีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ปรับรูปหน้ายอดนิยมสัญชาติเยอรมัน ที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองจาก CE ในยุโรปตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบัน มีการจำหน่ายและใช้กันอย่างแพร่หลายไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องโดยบริษัท KNA Interpharma แห่งประเทศไทย
ฟิลเลอร์ Hyabell ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
Restylane เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่อยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด จากประเทศสวีเดน ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ทั่วโลก และผ่านการรับรองมาตรฐาน FDA จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Restylane ยังเป็นฟิลเลอร์ที่เริ่มผลิตมาได้ยาวนานที่สุดในโลก และคงความนิยมมาได้จนถึงปัจจุบัน โดย Restylane เป็นของบริษัท Galderma บริษัทยาเจ้าใหญ่ในประเทศสวีเดน ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของฟิลเลอร์ Restylane อยู่ 2 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ NASHA Technology และ OBT Technology
Restylan รุ่นที่นิยมในการนำมาฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็ม มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น คือ
เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคน (Lidocaine) ซึ่งจะนิยมใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จมูก คาง หรือทำฟิลเลอร์แก้มส้ม ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้และการประเมินของแพทย์ เพราะมีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด สามารถสลายได้เองและฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยมีอายุการสลายตัวอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน
ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยมที่อยู่ภายใต้ชื่อ Restylane มีโมเลกุลเบา อนุภาคเล็ก เนื้อเนียนละเอียด สามารถแก้ไขจุดที่มีปัญหาเล็ก ๆ ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง ฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส พร้อมฉีดเก็บรายละเอียดบริเวณที่เกิดริ้วรอย เช่น ใต้ตา ผิวชั้นตื้น ปาก โดยมีอายุการสลายตัวนานประมาณ 6-12 เดือน
ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เหมือนกับรุ่นอื่น เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ทั้งหมดในท้องตลาดที่ได้รับความนิยมในการใช้ฉีดบริเวณปาก ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์จะมีความเนียนละเอียด แต่มีความคงตัว สร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ให้ความชุ่มชื้น ดูอวบอิ่มขึ้น ออกแบบมาเพื่อสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ ทั้งยังช่วยปรับสีปากให้ดูสดใสขึ้นได้หลังฉีดทันที และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานสุดถึง 12 เดือนเลยทีเดียว
ทั้งนี้ จะใช้ฟิลเลอร์รุ่นไหน ปริมาณเท่าไร แพทย์เจ้าของไข้จะเป็นผู้ประเมิน พร้อมเลือกรุ่นที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของคนไข้ได้อย่างตรงจุด โดยเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลเหมาะกับตำแหน่งและสภาพผิวของคนไข้แต่ละราย
e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และแนวโน้มจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นการฉีดฟิลเอร์ราคาถูกและปลอดภัย เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด โดย e.p.t.q. เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้ เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายไปแล้วกว่าล้านกล่องทั่วโลก
e.p.t.q. ย่อมาจาก
ดังนั้น ความหมายโดยรวม คือ e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูรอนิกอยู่ที่ 24 mg/ml ในทุกรุ่น ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด ทั้งยังเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี ไร้สารเคมีตกค้าง และมีค่า pH ที่เหมือนกับผิวหนังของมนุษย์ เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์คุณภาพดี โมเลกุลเล็กละเอียด ยืดหยุ่น ยึดเกาะผิวได้ดี และควบคุมการผลิตด้วยมาตรฐานระดับสากล ภายใต้การรับรองของ EP (European Pharmacopoeia) ทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์คงคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนสามารถให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิต e.p.t.q. ยังให้ความสำคัญในเรื่องของค่า BDDE (1,4-Butanediol Diglycidyl Ether) อีกด้วย ซึ่ง BDDE คือสารที่ทำให้ฟิลเลอร์เกิดพันธะ หรือที่เรียกกันว่า ครอสลิงก์ (Cross Linking) ยิ่งมีพันธะมาก ก็จะยิ่งคงรูปได้ดีตามไปด้วย ทำให้เนื้อฟิลเลอร์สลายช้า สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานกว่าเดิม เพราะรูปแบบของพันธะที่แน่นหนามีผลต่อความฟู ความหนืด และความยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ e.p.t.q. เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่กำลังมาแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม การเติมสาร BDDE ที่มากเกินไปก็มีข้อเสียอยู่ เพราะอาจส่งผลให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เนื่องอาจจะมี BDDE ที่ไม่สามารถจับกับกรดไฮยาลูรอนิก แอซิดได้อยู่ และเมื่อจับพันธะไม่ได้ ก็จะทำให้มีสาร BDDE ตกค้างอยู่ในฟิลเลอร์ได้มาก และนั่นเองที่จะนำไปสู่สาเหตุของอาการแพ้ต่าง ๆ ที่ตามมา
ทั้งนี้ ฟิลเลอร์ e.p.t.q. จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ได้ทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
รุ่น e.p.t.q. S 100 เป็นรุ่นที่เนื้อนิ่มที่สุดของ e.p.t.q. ภายในกล่องยาจะบรรจุฟิลเลอร์ 1 ml. จำนวน 1 เข็ม นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นตื้น ๆ เพื่อปรับผิวให้เรียบ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดฟิลเลอร์ขมับ ใต้ตา และปาก โดยจะมีระยะเวลาการสลายตัวอยู่ที่ราว 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้
รุ่น e.p.t.q. S 300 เป็นรุ่นที่มีเนื้อแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับ รุ่น S 100 ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 ml. ซึ่งนิยมฉีดในบริเวณผิวหนังชั้นกลางและชั้นลึก เพราะเนื้อไม่แข็งมาก แต่ก็ไม่ได้นิ่มจนเกินไป ยังสามารถคงรูปได้ มีแรงยกระดับปานกลาง เหมาะสำหรับการเปลี่ยนรูปทรง หรือเปลี่ยนรูปส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ฉีดแก้ไขตาลึกโบ๋ ฉีดฟิลเลอร์แก้ไขแก้มตอบ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้รูปปาก เสริมขอบปาก โดยจะมีระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์อยู่ที่ราว 8 เดือน หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้
e.p.t.q. S 500 เป็นรุ่นที่เนื้อหนาแน่นที่สุดและแข็งที่สุดเมื่อเทียบกับทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 ml. นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นลึกเพราะมีแรงยกมากที่สุด และมักใช้ฉีดเสริมแทนที่กระดูกที่หายไป อันมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นจนทำให้ผิวหน้าหย่อนยานลงตามวัย โดยสามารถใช้ฉีดกราม กรอบหน้า คาง จมูก หรือแม้กระทั่งฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและใต้ตาก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ส่วนระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์จะสามารถคงอยู่ได้ที่ประมาณ 12 เดือน หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้
นอกจากรุ่นของฟิลเลอร์ e.p.t.q. ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว จะมีรุ่นที่แยกย่อยออกไปอีก 2 รุ่น คือ รุ่นธรรมดาที่ปราศจากลิโดเคน (Lidocaine) หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่ายาชา และอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีส่วนประกอบของลิโดเคน ในปริมาณ 0.3%
Neuramis ฟิลเลอร์ยี่ห้อดังสัญชาติเกาหลีใต้ ผ่านการรับรองจากทั้งองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) เกาหลี (KFDA) สหรัฐอเมริกา (USDFA) และคณะกรรมการยุโรปสำหรับคุณภาพของยาและการดูแลสุขภาพ (EDQM) นำเข้าโดยบริษัท Medyceles ประเทศไทย
ปัจจุบัน Neuramis กำลังได้รับความนิยมไม่ต่างจาก e.p.t.q. และแพร่หลายไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ และราคาที่เข้าถึงง่าย คลินิกฉีดฟิลเลอร์หลายแห่งจึงนิยมใช้ฟิลเลอร์ Neuramis เพื่อเติมเต็มใบหน้าของคนไข้ให้ดูอิ่มฟู ได้สัดส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ Neuramis จึงเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า และต้องการความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มีด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่
เป็นรุ่นแรกที่ผ่าน อย. ของประเทศไทย และมีการนำมาใช้เป็นรุ่นแรก ไม่มียาชาผสม เนื้อเจลหนืดปานกลาง ให้ความอิ่มฟูและสามารถขึ้นรูปได้ง่าย สามารถใช้ฉีดเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าได้หลายจุด
มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์เหมือนกับรุ่น Deep แต่มีความแตกต่างกันที่รุ่นนี้จะมีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคน ในปริมาณ 0.3% ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเจ็บขณะฉีดได้
โดยทั้งสองรุ่นที่กล่าวมามีระยะเวลาการสลายตัวอยู่ที่ราว 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้
เนื้อเจลหนืดที่สุดในทุกรุ่น มีความยืดหยุ่น คงตัวได้ดี สามารถนำมาใช้เติมเต็มปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก มีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคนในปริมาณ 0.3% และสามารถคงผลลัพธ์ของการรักษาได้นานประมาณ 12-24 เดือน
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา การเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนและปริมาณเท่าไร จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผลชัดเจนที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ รวมถึงเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ท่านนั้น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีรอยแดงจากการวางเข็มเป็นแผลเล็ก ๆ และจะสามารถหายไปเองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 2-3 วัน หรืออาจมีอาการบวมหลังฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ โดยระยะเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนอยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน หลังอาการบวมและรอยแดงลดลง
สำหรับคนไข้ที่ฉีดฟิลเลอร์ไประยะเวลาหนึ่งแล้วอาจพบอาการบวม เป็นก้อน ไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการฉีดส่งผลให้เกิดความกังวล สูญเสียความมั่นใจ หรือแม้กระทั่งกรณีใดก็ตาม สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายโดยแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ท่านอื่นที่มีความชำนาญการ ซึ่งปกติแล้ว สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ผ่านมาตรฐานจะสลายไปได้เองตามธรรมชาติ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและเทคโนโลยีเฉพาะของแต่ละยี่ห้อ แต่หากต้องการให้ฟิลเลอร์สลายทันที ก็สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ช่วยละลายออกได้อย่างสมบูรณ์ 100% ซึ่งหน้าที่หลักของ Hyaluronidases จะพุ่งเป้าไปที่การจัดการย่อยสลาย Hyaluronan (HA) โดยเฉพาะเพียงอย่างเดียว ไม่ส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อส่วนอื่น ๆ หลังจากนั้น หากต้องการฉีดฟิลเลอร์กลับเข้าไปอีกก็สามารถทำได้ แต่ไม่แนะนำให้ฉีดใหม่ทันที ควรเว้นระยะเวลาไว้ 5-7 วัน เพื่อให้ยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์ให้หมดก่อน และเมื่อเนื้อเยื่อเริ่มเข้าที่แล้วจึงปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าใหม่อีกครั้ง
ไม่ต้องรอให้สลายก็ฉีดเพิ่มได้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์หลายครั้งไม่ได้เป็นอันตราย หากฉีดด้วยสารที่สามารถย่อยสลายเองได้ อย่างสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิดก็จะปลอดภัย สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องรอให้สลายก่อน เพราะธรรมชาติของตัวฟิลเลอร์สามารถอยู่ได้นานสูงสุดประมาณ 18-24 เดือน ไม่สามารถอยู่ได้อย่างถาวร หากฟิลเลอร์สลายออกไปหมด โครงสร้างใบหน้าก็จะกลับมาเป็นเช่นเดิม ฉะนั้นแล้ว จึงสามารถมาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพรูปหน้าเอาไว้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย
หลังจากที่ฟิลเลอร์ตัวเก่าสลายหมดไปแล้ว สามารถเปลี่ยนยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมเหมือนกับที่เคยฉีด แต่ทั้งนี้ก็ควรรับคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้ด้วยว่า ปัญหาของคนไข้นั้น เหมาะหรือควรเลือกใช้ยี่ห้อใด รุ่นไหนดี เพราะฟิลเลอร์แต่ละตัวก็มีคุณสมบัติและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันออกไป บางตัวเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก บางตัวเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหารอยย่นเล็ก ๆ เป็นต้น
ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่เหมาะกับทุกจุดบนใบหน้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฟิลเลอร์ต้องมีหลากหลายยี่ห้อและแยกรุ่นกันออกไป เพราะแต่ละจุดบนใบหน้าก็เหมาะกับเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน แพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องประเมินว่าคนไข้แต่ละรายมีปัญหาตรงจุดไหน จากนั้นจึงเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคนไข้เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที โดยอาการบวมจะหายไปเองได้ใน 7-14 วัน และหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่ออาการบวมหายดี ฟิลเลอร์เข้าที่แล้ว ก็จะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
การดูดไขมันไม่เป็นอันตรายและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับผู้ที่สนใจดูดไขมัน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ ลา เฟอร์ลี่ คลินิก ให้ข้อมูล รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้ ก่อนตัดสินใจดูดไขมัน