คลินิกฉีดฟิลเลอร์ได้มาตรฐาน หมดปัญหาแก้มตอบ ร่องแก้มลึก

หากร่างกายขาดสารไฮยาลูรอนิก ผิวหนังของเราก็จะขาดความชุ่มชื้น แห้งและบางลง รวมไปถึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนี้ สารดังกล่าวยังทำงานเกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายคนเราจะมีการเสื่อมลงของผิวหนังและระบบการทำงานต่าง ๆ เมื่ออายุ 20-25 ปี เฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น สารไฮยาลูรอนิก แอซิด จึงเป็นสารที่สามารถใช้ทดแทนในส่วนที่ร่างกายผลิตได้น้อยลง เพื่อคงความแข็งแรงของผิว ให้ผิวยืดหยุ่นและเต่งตึงแบบโกงอายุกันเลยก็ว่าได้

ผู้หญิงปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า

คนไข้เข้ารับหัตถการฉีดฟิลเลอร์ขมับโดยแพทย์เฉพาะทาง

  1. สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4-6 เดือน หรือมากกว่านั้น มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ตามอายุการใช้งาน
  2. สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) จะมีอายุยาวกว่าแบบแรก สามารถอยู่ได้นานราว 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง
  3. สารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler) จะเป็นสารเติมเต็มจำพวกซิลิโคน หรือพาราฟิน หลังฉีดไปแล้วจะสามารถอยู่ในผิวไปได้ตลอด ไม่สลายไปตามธรรมชาติ แต่ก็จะมีผลข้างเคียงในระยะยาวเช่นกัน

การฉีดฟิลเลอร์แต่ละประเภทจะเหมาะกับการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกวันนี้ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทย (อัปเดตล่าสุด) จำเป็นต้องเป็นสารเต็มเต็มชนิด Hyaluronic acid (HA) เท่านั้น

Juvederm Filler

Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่ได้รับความนิยมจากแพทย์ทั่วโลกในการนำมาใช้ฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ผลิตโดยบริษัท Allergan ที่เป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์ความงามจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย. ประเทศไทย และนำเข้าโดย บริษัท Allergan ประเทศไทย โดยใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต คือ Hylacross Technology และ Vycross Technology

Juvederm Filler เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าที่ผ่าน อย. ในไทย

  • Hylacross Technology คือ เทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องค่าความอุ้มน้ำ ฉีดแล้วมีความอิ่มฟูอย่างเห็นได้ชัด เพราะใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถทนต่อการขยับได้ดี
  • Vycross Technology คือ เทคโนโลยีล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมคุณสมบัติเดิมให้มีการยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลการยึดเกาะที่หนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อย เมื่อเทียบกับ HA อื่น จึงช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีด เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน

Juvederm มีทั้งหมด 7 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมและติดตลาดอย่างมากในปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 2 รุ่น คือ

1. Juvederm Voluma

เนื้อฟิลเลอร์รุ่นนี้มีความแข็งและมีความหนาแน่นสูง อิ่มฟูปานกลาง ที่สำคัญคือ ได้รับการออกแบบมาสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและคางโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ฉีดฟิลเลอร์ขมับกับริมฝีปากเพื่อความอิ่มฟู รวมถึงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อช่วยเติมเต็มจากการยุบตัวของกระดูกได้เช่นกัน โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 18 เดือน

2. Juvederm Volift

เป็นรุ่นที่ออกแบบมาให้มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่เนียนละเอียด นิ่ม มีความยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใต้ตา และริมฝีปาก โดยผลลัพธ์หลังฉีดสามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดูแลและการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคนด้วย

 

Hyabell Filler

Hyabell อีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ปรับรูปหน้ายอดนิยมสัญชาติเยอรมัน ที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองจาก CE ในยุโรปตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบัน มีการจำหน่ายและใช้กันอย่างแพร่หลายไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยได้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องโดยบริษัท KNA Interpharma แห่งประเทศไทย

Hyabell Filler หนึ่งในฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าที่ผ่าน อย. ในไทย

ฟิลเลอร์ Hyabell ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้

1. Hyabell Lips

  • มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด 12 mg/ml ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลนุ่มที่สุดในทั้ง 4 รุ่น เหมาะสำหรับฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นและแก้ไขริ้วรอย
  • บริเวณที่แนะนำในการฉีด ได้แก่ ใต้ตาชั้นตื้น ให้ความชุ่มชื้นริมฝีปาก แก้ไขริ้วรอยถาวร (Fine Line) บริเวณหางตา รอบปาก และร่องน้ำหมาก
  • ระยะเวลาการสลายตัว 6-9 เดือน

2. Hyabell Basic

  • มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด 16 mg/ml ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับเติมเต็ม แก้ไขร่องลึกระดับปานกลาง
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด ได้แก่ ใต้ตาชั้นลึก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และปรับทรงปาก
  • ระยะเวลาการสลายตัว 6-9 เดือน
  • 3. Hyabell Deep
  • ความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด 20 mg/ml ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็ง เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกระดับปานกลางถึงมาก เพราะสามารถขึ้นรูปได้ดี นิยมใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าและยกกระชับ
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด ได้แก่ ขมับ หน้าแก้ม คาง และกรอบหน้า
  • ระยะเวลาการสลายตัว 9-12 เดือน

4. Hyabell Ultra

  • ความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิด 24 mg/ml ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็งที่สุดในทั้ง 4 รุ่น มีความคงตัว ยืดหยุ่น ขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ยกกระชับ
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด ได้แก่ ขมับ ยกกระชับหน้าแก้ม ปรับรูปคางและกรอบหน้า
  • ระยะเวลาการสลายตัว 12-14 เดือน

 

Restylane Filler

Restylane เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่อยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด จากประเทศสวีเดน ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ทั่วโลก และผ่านการรับรองมาตรฐาน FDA จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Restylane ยังเป็นฟิลเลอร์ที่เริ่มผลิตมาได้ยาวนานที่สุดในโลก และคงความนิยมมาได้จนถึงปัจจุบัน โดย Restylane เป็นของบริษัท Galderma บริษัทยาเจ้าใหญ่ในประเทศสวีเดน ซึ่งปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของฟิลเลอร์ Restylane อยู่ 2 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ NASHA Technology และ OBT Technology

Restylane Filler หนึ่งในฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าที่ผ่าน อย. ในไทย

  • NASHA Technology หรือ Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับไฮยารูลอนิก แอซิดในร่างกาย ซึ่งมีความคงตัวสูง ปลอดภัย สามารถป้องกันอาการแพ้ได้ มีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1996 อย่างแพร่หลาย จนปัจจุบันใช้กันมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย FDA จากสหรัฐอเมริกา และ CE Marks จากยุโรป โดยเนื้อเจลจะมีขนาดเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ไม่เท่ากันในแต่ละรุ่น เนื่องจาก NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีการสร้างเจลที่มีลักษณะคงรูป (Firm Gel) โดยได้มีการเติม BDDE ให้น้อยกว่า 1% เพื่อให้ไฮยารูลอนิก แอซิด มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ผู้ฉีดฟิลเลอร์จึงได้รูปหน้าที่สวย คม และดูมีมิติมากขึ้น อีกทั้งหลังฉีดก็ไม่ทำให้ฟิลเลอร์ไหลไปตามบริเวณต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แถมยังสามารถคงสภาพอยู่ในร่างกายได้นานราว 6-12 เดือนเลยทีเดียว
  • OBT Technology หรือ Optimal Balance Technology เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ที่ผลิตมาภายหลัง NASHA โดยจะมีลักษณะเป็นโครงสร้างตาข่าย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Restylane ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เกาะเข้ากับเนื้อผิวได้ดี ผลลัพธ์ดูสวยเนียน เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อผิวบอบบาง ทั้งยังสามารถปรับรูปทรงได้ค่อนข้างอิสระ เติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าได้หลายจุด ส่งผลให้เป็นที่ยอมรับและถูกเลือกใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่หลายทั่วโลก 

Restylan รุ่นที่นิยมในการนำมาฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็ม มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น คือ

1. Restylane Perlane Lyft

เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคน (Lidocaine) ซึ่งจะนิยมใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จมูก คาง หรือทำฟิลเลอร์แก้มส้ม ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้และการประเมินของแพทย์ เพราะมีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด สามารถสลายได้เองและฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยมีอายุการสลายตัวอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน

2. Restylane Vital Light

ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยมที่อยู่ภายใต้ชื่อ Restylane มีโมเลกุลเบา อนุภาคเล็ก เนื้อเนียนละเอียด สามารถแก้ไขจุดที่มีปัญหาเล็ก ๆ ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง ฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส พร้อมฉีดเก็บรายละเอียดบริเวณที่เกิดริ้วรอย เช่น ใต้ตา ผิวชั้นตื้น ปาก โดยมีอายุการสลายตัวนานประมาณ 6-12 เดือน

3. Restylane Kysse

ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เหมือนกับรุ่นอื่น เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ทั้งหมดในท้องตลาดที่ได้รับความนิยมในการใช้ฉีดบริเวณปาก ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์จะมีความเนียนละเอียด แต่มีความคงตัว สร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ให้ความชุ่มชื้น ดูอวบอิ่มขึ้น ออกแบบมาเพื่อสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ ทั้งยังช่วยปรับสีปากให้ดูสดใสขึ้นได้หลังฉีดทันที และสามารถคงผลลัพธ์ได้นานสุดถึง 12 เดือนเลยทีเดียว

ทั้งนี้ จะใช้ฟิลเลอร์รุ่นไหน ปริมาณเท่าไร แพทย์เจ้าของไข้จะเป็นผู้ประเมิน พร้อมเลือกรุ่นที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาของคนไข้ได้อย่างตรงจุด โดยเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลเหมาะกับตำแหน่งและสภาพผิวของคนไข้แต่ละราย

E.P.T.Q. Filler

e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และแนวโน้มจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นการฉีดฟิลเอร์ราคาถูกและปลอดภัย เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด โดย e.p.t.q. เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้ เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายไปแล้วกว่าล้านกล่องทั่วโลก

e.p.t.q. ย่อมาจาก

  • E : Efficiency ประสิทธิภาพ
  • P : Potential ศักยภาพ
  • T : Technology เทคโนโลยีที่ทันสมัย
  • Q : Quality Efficiency คุณภาพที่ยอดเยี่ยม

ดังนั้น ความหมายโดยรวม คือ e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูรอนิกอยู่ที่ 24 mg/ml ในทุกรุ่น ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด ทั้งยังเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี ไร้สารเคมีตกค้าง และมีค่า pH ที่เหมือนกับผิวหนังของมนุษย์ เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์คุณภาพดี โมเลกุลเล็กละเอียด ยืดหยุ่น ยึดเกาะผิวได้ดี และควบคุมการผลิตด้วยมาตรฐานระดับสากล ภายใต้การรับรองของ EP (European Pharmacopoeia) ทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์คงคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนสามารถให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิต e.p.t.q. ยังให้ความสำคัญในเรื่องของค่า BDDE (1,4-Butanediol Diglycidyl Ether) อีกด้วย ซึ่ง BDDE คือสารที่ทำให้ฟิลเลอร์เกิดพันธะ หรือที่เรียกกันว่า ครอสลิงก์ (Cross Linking) ยิ่งมีพันธะมาก ก็จะยิ่งคงรูปได้ดีตามไปด้วย ทำให้เนื้อฟิลเลอร์สลายช้า สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานกว่าเดิม เพราะรูปแบบของพันธะที่แน่นหนามีผลต่อความฟู ความหนืด และความยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ e.p.t.q. เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่กำลังมาแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม การเติมสาร BDDE ที่มากเกินไปก็มีข้อเสียอยู่ เพราะอาจส่งผลให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เนื่องอาจจะมี BDDE ที่ไม่สามารถจับกับกรดไฮยาลูรอนิก แอซิดได้อยู่ และเมื่อจับพันธะไม่ได้ ก็จะทำให้มีสาร BDDE ตกค้างอยู่ในฟิลเลอร์ได้มาก และนั่นเองที่จะนำไปสู่สาเหตุของอาการแพ้ต่าง ๆ ที่ตามมา

ทั้งนี้ ฟิลเลอร์ e.p.t.q. จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ได้ทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ 

1. e.p.t.q. S 100

รุ่น e.p.t.q. S 100 เป็นรุ่นที่เนื้อนิ่มที่สุดของ e.p.t.q. ภายในกล่องยาจะบรรจุฟิลเลอร์ 1 ml. จำนวน 1 เข็ม นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นตื้น ๆ เพื่อปรับผิวให้เรียบ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดฟิลเลอร์ขมับ ใต้ตา และปาก โดยจะมีระยะเวลาการสลายตัวอยู่ที่ราว 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้

2. e.p.t.q. S 300

รุ่น e.p.t.q. S 300 เป็นรุ่นที่มีเนื้อแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับ รุ่น S 100 ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 ml. ซึ่งนิยมฉีดในบริเวณผิวหนังชั้นกลางและชั้นลึก เพราะเนื้อไม่แข็งมาก แต่ก็ไม่ได้นิ่มจนเกินไป ยังสามารถคงรูปได้ มีแรงยกระดับปานกลาง เหมาะสำหรับการเปลี่ยนรูปทรง หรือเปลี่ยนรูปส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ฉีดแก้ไขตาลึกโบ๋ ฉีดฟิลเลอร์แก้ไขแก้มตอบ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้รูปปาก เสริมขอบปาก โดยจะมีระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์อยู่ที่ราว 8 เดือน หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้

3. e.p.t.q. S 500

e.p.t.q. S 500 เป็นรุ่นที่เนื้อหนาแน่นที่สุดและแข็งที่สุดเมื่อเทียบกับทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 ml. นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นลึกเพราะมีแรงยกมากที่สุด และมักใช้ฉีดเสริมแทนที่กระดูกที่หายไป อันมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นจนทำให้ผิวหน้าหย่อนยานลงตามวัย โดยสามารถใช้ฉีดกราม กรอบหน้า คาง จมูก หรือแม้กระทั่งฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและใต้ตาก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ส่วนระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์จะสามารถคงอยู่ได้ที่ประมาณ 12 เดือน หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้

นอกจากรุ่นของฟิลเลอร์ e.p.t.q. ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว จะมีรุ่นที่แยกย่อยออกไปอีก 2 รุ่น คือ รุ่นธรรมดาที่ปราศจากลิโดเคน (Lidocaine) หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่ายาชา และอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีส่วนประกอบของลิโดเคน ในปริมาณ 0.3%

 

Neuramis Filler

Neuramis ฟิลเลอร์ยี่ห้อดังสัญชาติเกาหลีใต้ ผ่านการรับรองจากทั้งองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) เกาหลี (KFDA) สหรัฐอเมริกา (USDFA) และคณะกรรมการยุโรปสำหรับคุณภาพของยาและการดูแลสุขภาพ (EDQM) นำเข้าโดยบริษัท Medyceles ประเทศไทย

ปัจจุบัน Neuramis กำลังได้รับความนิยมไม่ต่างจาก e.p.t.q. และแพร่หลายไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ และราคาที่เข้าถึงง่าย คลินิกฉีดฟิลเลอร์หลายแห่งจึงนิยมใช้ฟิลเลอร์ Neuramis เพื่อเติมเต็มใบหน้าของคนไข้ให้ดูอิ่มฟู ได้สัดส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ Neuramis จึงเป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า และต้องการความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มีด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่

1. Neuramis รุ่น Deep

เป็นรุ่นแรกที่ผ่าน อย. ของประเทศไทย และมีการนำมาใช้เป็นรุ่นแรก ไม่มียาชาผสม เนื้อเจลหนืดปานกลาง ให้ความอิ่มฟูและสามารถขึ้นรูปได้ง่าย สามารถใช้ฉีดเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าได้หลายจุด

2. Neuramis รุ่น Deep Lidocaine

มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์เหมือนกับรุ่น Deep แต่มีความแตกต่างกันที่รุ่นนี้จะมีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคน ในปริมาณ 0.3% ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเจ็บขณะฉีดได้

โดยทั้งสองรุ่นที่กล่าวมามีระยะเวลาการสลายตัวอยู่ที่ราว 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้

3. Neuramis รุ่น Volume Lidocaine

เนื้อเจลหนืดที่สุดในทุกรุ่น มีความยืดหยุ่น คงตัวได้ดี สามารถนำมาใช้เติมเต็มปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก มีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคนในปริมาณ 0.3% และสามารถคงผลลัพธ์ของการรักษาได้นานประมาณ 12-24 เดือน

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา การเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนและปริมาณเท่าไร จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผลชัดเจนที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ รวมถึงเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ท่านนั้น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • 1 สัปดาห์ก่อนมาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบ เช่น Ibruprofen, Ponstan, Naproxen เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำหลังการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงยาหรือสารสกัดที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก จำพวกน้ำมันปลา กระเทียม วิตามินอี สารสกัดโสม ใบแปะก๊วย หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์อาหารประเภทเสริมคอลลาเจน
  • 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า ควรงดใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว เช่น กลุ่มสาร Vitamin A เช่น Retin-A, Retinoid หรือกลุ่มกรดผลัดเซลล์ AHA, BHA และงดการขัดผิว แว็กซ์ขน หรือโกนขนในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันอาการอักเสบระคายเคือง
  • หากมีโรคประจำตัวและมียาที่ต้องทานอยู่เป็นประจำ ควรให้ข้อมูลกับแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยและชี้แจงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีดฟิลเลอร์ และเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของตัวคนไข้เองด้วย ที่สำคัญ *หากมีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการฉีดฟิลเลอร์ในบางตำแหน่งจำเป็นต้องใช้ยาชาในการฉีด และบางยี่ห้อของฟิลเลอร์เองก็มีการผสมยาชาเข้ามาในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย*
  • หากมีประวัติแพ้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือเป็นผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า หยุดไหลยาก รวมถึงกลุ่มคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นม ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อนจะดีกว่า เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคนไข้เอง

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์

  • เข้าปรึกษาแพทย์ ให้แพทย์เจ้าของไข้เป็นผู้ประเมินปัญหาและบอกถึงจุดที่ต้องการแก้ไข
  • แพทย์จะแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณที่เหมาะสมกับจุดที่จะฉีด (ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์)
  • ทำความสะอาดใบหน้า หากมีการแต่งหน้า ต้องเช็ดเครื่องสำอางในจุดที่ต้องการฉีดออกก่อน
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะต้องแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า ในขั้นตอนนี้คนไข้สามารถขอตรวจสอบได้เลยว่าฟิลเลอร์นั้นเป็นของแท้หรือไม่
  • ประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
  • เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์ผู้ทำการรักษาจะแนะนำวิธีดูแลตัวเองในขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงข้อควรปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีรอยแดงจากการวางเข็มเป็นแผลเล็ก ๆ และจะสามารถหายไปเองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 2-3 วัน หรืออาจมีอาการบวมหลังฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ โดยระยะเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนอยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน หลังอาการบวมและรอยแดงลดลง

  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกา และกดนวดในจุดที่ฉีด เพราะจากการเปิดแผลอาจส่งผลให้คนไข้มีอาการบวม แดง หรือเขียวช้ำ ซึ่งเป็นปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 วัน
  • ทายาฆ่าเชื้อหลังการฉีดภายในระยะเวลา 48 ชม. เพื่อลดอาการบวมและอักเสบของผิว
  • อยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด รวมถึงหัตถการประเภทการทำเลเซอร์ที่ให้ความร้อนลงไปในผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  • พยายามขยับผิวในจุดที่ได้รับการฉีดให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนและเสียรูปทรงได้
  • งดรับประทานอาหารบางประเภทที่สามารถส่งผลต่ออาการอักเสบ บวม และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้าลงได้ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารปิ้งย่าง รวมถึงอาหารหมักดอง และอาหารรสจัดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดง ในช่วงหลังการฉีดประมาณ 48 ชม.

สำหรับคนไข้ที่ฉีดฟิลเลอร์ไประยะเวลาหนึ่งแล้วอาจพบอาการบวม เป็นก้อน ไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการฉีดส่งผลให้เกิดความกังวล สูญเสียความมั่นใจ หรือแม้กระทั่งกรณีใดก็ตาม สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายโดยแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ท่านอื่นที่มีความชำนาญการ ซึ่งปกติแล้ว สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ผ่านมาตรฐานจะสลายไปได้เองตามธรรมชาติ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและเทคโนโลยีเฉพาะของแต่ละยี่ห้อ แต่หากต้องการให้ฟิลเลอร์สลายทันที ก็สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ช่วยละลายออกได้อย่างสมบูรณ์ 100% ซึ่งหน้าที่หลักของ Hyaluronidases จะพุ่งเป้าไปที่การจัดการย่อยสลาย Hyaluronan (HA) โดยเฉพาะเพียงอย่างเดียว ไม่ส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อส่วนอื่น ๆ หลังจากนั้น หากต้องการฉีดฟิลเลอร์กลับเข้าไปอีกก็สามารถทำได้ แต่ไม่แนะนำให้ฉีดใหม่ทันที ควรเว้นระยะเวลาไว้ 5-7 วัน เพื่อให้ยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์ให้หมดก่อน และเมื่อเนื้อเยื่อเริ่มเข้าที่แล้วจึงปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าใหม่อีกครั้ง

ไม่ต้องรอให้สลายก็ฉีดเพิ่มได้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์หลายครั้งไม่ได้เป็นอันตราย หากฉีดด้วยสารที่สามารถย่อยสลายเองได้ อย่างสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิดก็จะปลอดภัย สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องรอให้สลายก่อน เพราะธรรมชาติของตัวฟิลเลอร์สามารถอยู่ได้นานสูงสุดประมาณ 18-24 เดือน ไม่สามารถอยู่ได้อย่างถาวร หากฟิลเลอร์สลายออกไปหมด โครงสร้างใบหน้าก็จะกลับมาเป็นเช่นเดิม ฉะนั้นแล้ว จึงสามารถมาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพรูปหน้าเอาไว้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย

หลังจากที่ฟิลเลอร์ตัวเก่าสลายหมดไปแล้ว สามารถเปลี่ยนยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมเหมือนกับที่เคยฉีด แต่ทั้งนี้ก็ควรรับคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้ด้วยว่า ปัญหาของคนไข้นั้น เหมาะหรือควรเลือกใช้ยี่ห้อใด รุ่นไหนดี เพราะฟิลเลอร์แต่ละตัวก็มีคุณสมบัติและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันออกไป บางตัวเหมาะสำหรับเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก บางตัวเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหารอยย่นเล็ก ๆ เป็นต้น

ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่เหมาะกับทุกจุดบนใบหน้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฟิลเลอร์ต้องมีหลากหลายยี่ห้อและแยกรุ่นกันออกไป เพราะแต่ละจุดบนใบหน้าก็เหมาะกับเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน แพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องประเมินว่าคนไข้แต่ละรายมีปัญหาตรงจุดไหน จากนั้นจึงเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคนไข้เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที โดยอาการบวมจะหายไปเองได้ใน 7-14 วัน และหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่ออาการบวมหายดี ฟิลเลอร์เข้าที่แล้ว ก็จะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

การดูดไขมันไม่เป็นอันตรายและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับผู้ที่สนใจดูดไขมัน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ 
ลา เฟอร์ลี่ คลินิก ให้ข้อมูล รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้
ก่อนตัดสินใจดูดไขมัน

Reviews

To top