แต่หากร่างกายขาดสารไฮยาลูรอนิคแล้ว ผิวหนังของเราก็จะขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งลง ผิวบางลง รวมไปถึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายอีกด้วย อีกทั้งยังมีการทำงานเกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายคนเราจะมีการเสื่อมลงของผิวหนังและระบบการทำงานของร่างกาย เมื่ออายุ 20-25 ปี เฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) จึงเป็นสารที่สามารถใช้ทดแทนในส่วนที่ร่างกายผลิตได้น้อยลง เพื่อคงความแข็งแรงของผิว ให้ผิวยืดหยุ่นและเต่งตึงแบบโกงอายุกันได้เลยทีเดียว

  1. สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4-6 เดือนหรือมากกว่านั้น มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ตามอายุการใช้งาน
  2. สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) แบบนี้จะมีอายุยาวกว่าแบบแรก สามารถอยู่ได้นานราว 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง
  3. สารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler) จะเป็นสารเติมเต็มจำพวก ซิลิโคน หรือ พาราฟิน หลังฉีดไปแล้วจะสามารถอยู่ในผิวไปได้ตลอด ไม่สลายไปตามธรรมชาติ แต่ก็จะมีผลข้างเคียงในระยะยาวนั่นเอง

ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละประเภทก็จะเหมาะกับการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกวันนี้ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. ในประเทศไทย (อัปเดตล่าสุด) จำเป็นต้องสารเต็มเต็มชนิด Hyaluronic acid (HA) เท่านั้น

Juvederm Filler
Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา ที่ได้รับความนิยมจากแพทย์ทั่วโลกในการนำมาใช้ปรับรูปหน้า ซึ่งถูกผลิตโดยบริษัท Allergan ที่เป็นผู้นำด้านเวชศาสตร์ความงามจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย. ประเทศไทย และนำเข้าโดย บริษัท Allergan ประเทศไทย โดยใช้ 2 เทคโนโลยีในการผลิต คือ (Hylacross Technology และ Vycross Technology)

  • Hylacross Technology คือ เทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่อง ค่าความอุ้มน้ำได้ดี ฉีดแล้วมีความอิ่มฟูอย่างเห็นได้ชัด เพราะ ใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) มีความยืนหยุ่นสูง และสามารถทนต่อการขยับได้ดี
  • Vycross Technology คือ เทคโนโลยีล่าสุด ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมคุณสมบัติเดิมให้มีการยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลการยึดเกาะที่หนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อย เมื่อเทียบกับ HA อื่น จึงช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีด เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน
  • Hylacross Technology คือ เทคโนโลยีที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่อง ค่าความอุ้มน้ำได้ดี ฉีดแล้วมีความอิ่มฟูอย่างเห็นได้ชัด เพราะ ใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) มีความยืนหยุ่นสูง และสามารถทนต่อการขยับได้ดี
  • Vycross Technology คือ เทคโนโลยีล่าสุด ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมคุณสมบัติเดิมให้มีการยกกระชับได้ดี มีโมเลกุลการยึดเกาะที่หนาแน่น และมีอัตราการบวมน้ำหรืออุ้มน้ำน้อย เมื่อเทียบกับ HA อื่น จึงช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีด เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน

ซึ่งในไลน์ของ Juvederm นั้นมีทั้งหมด 7 รุ่น แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมและติดตลาดอย่างมากในปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 2 รุ่น คือ

1. Juvederm Voluma : ลักษณะเนื้อของฟิลเลอร์รุ่นนี้มีลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์ที่แข็งและมีความหนาแน่นสูง อิ่มฟูปานกลาง ที่สำคัญคือถูกออกแบบมาสำหรับฉีดบริเวณแก้ม ร่องแก้ม คาง นอกจากนั้นยังสามารถฉีดได้ในบริเวณขมับกับริมฝีปากเพื่อความอิ่มฟู รวมถึงใต้ตาเพื่อช่วยเรื่องการยุบตัวของกระดูกได้อีกด้วย โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานมากถึง 18 เดือน
2. Juvederm Volift : เป็นรุ่นที่ออกแบบให้มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์ที่เนียนละเอียด นิ่ม มีความยืดหยุ่น ไม่เป็นก้อน ให้ผลลัพธ์หลังฉีดที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการฉีดในบริเวณแก้ม ร่องแก้ม ใต้ตา และริมฝีปาก ซึ่งผลลัพธ์หลังฉีดสามารถอยู่ได้นานถึง 12 เดือน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดูแลและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคน

Hyabell Filler
Hyabell อีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ยอดนิยมสัญชาติเยอรมัน ที่มีความปลอดภัยสูงและได้รับการรับรองจาก CE ในยุโรปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งในปัจจุบันมีการจำหน่ายและใช้กันอย่างแพร่หลายไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยได้ถูกนำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องโดยบริษัท KNA Interpharma แห่งประเทศไทย

ฟิลเลอร์ Hyabell มีกี่รุ่น ฉีดบริเวณไหน

ฟิลเลอร์ Hyabell ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และมีจัดจำหน่ายอยู่อย่างถูกต้องในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น

1. Hyabell Lips

  • มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิค (Hyaluronic Acid : HA) 12 mg/ml (มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลนุ่มที่สุดในทั้ง 4 รุ่น เหมาะสำหรับฉีดเพื่อให้ความชุ่มชื้นและแก้ไขริ้วรอย
  • บริเวณที่แนะนำในการฉีด : ใต้ตาชั้นตื้น ให้ความชุ่มชื้นริมฝีปาก แก้ไขริ้วรอยถาวร (fine line) บริเวณหางตา รอบปาก และ ร่องน้ำหมาก
  • ระยะเวลาการสลายตัว : 6-9 เดือน

2. Hyabell Basic

  • มีความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิค (Hyaluronic Acid : HA) 16 mg/ml (มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับเติมเต็ม แก้ไขร่องลึกระดับปานกลาง
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด : ใต้ตาชั้นลึก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และปรับทรงปาก
  • ระยะเวลาการสลายตัว : 6-9 เดือน

3. Hyabell Deep

  • ความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิค (Hyaluronic Acid : HA) 20 mg/ml (มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็ง เหมาะสำหรับเติมเติมร่องลึกระดับปานกลางถึงมาก เพราะสามารถขึ้นรุปได้ดี เหมาะกับใช้ในการฉีดเพื่อปรับรูปทรงหน้าและยกกระชับ
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด : ขมับ หน้าแก้ม คาง และกรอบหน้า
  • ระยะเวลาการสลายตัว : 9-12 เดือน

4. Hyabell Ultra

  • ความเข้มข้นของสารไฮยาลูรอนิก แอซิค (Hyaluronic Acid : HA) 24 mg/ml (มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) ผสมยาชาลิโดเคน (Lidocaine) 3%
  • เนื้อเจลแข็งที่สุดในทั้ง 4 รุ่น มีความคงตัว ยืดหยุ่น ขึ้นรูปได้ดี เหมาะกับการฉีดปรับรูปทรงหน้า ยกกระชับ
  • บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด : ขมับ ยกกระชับหน้าแก้ม ปรับรูปคางและกรอบหน้า
  • ระยะเวลาการสลายตัว : 12-14 เดือน

Restylane Filler
Restylane เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์กลุ่มสารเติมเต็มกลุ่ม ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) จากประเทศสวีเดน ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ทั่วโลก และผ่านการรับรองมาตรฐาน FDA จากสหรัฐอเมริกา อีกทั้ง Restylane ยังเป็นฟิลเลอร์ที่เริ่มผลิตมาได้ยาวนานที่สุดในโลกและยังคงความนิยมมาได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Restylane เป็นของบริษัท Galderma บริษัทยาเจ้าใหญ่ในประเทศสวีเดน โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีทางด้านการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีเทคโนโลยีที่เอกสิทธิ์เฉพาะของฟิลเลอร์ Restylane อยู่ 2 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ NASHA technology และ OBT technology

  • NASHA Technology หรือ Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับ ไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ในร่างกาย ซึ่งมีความคงตัวสูง ปลอดภัย สามารถป้องกันการเกิดอาการแพ้ได้ ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1996 อย่างแพร่หลาย และในปัจจุบันก็ถูกใช้มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย FDA จากสหรัฐอเมริกา และ CE Marks จากยุโรป ด้วยเนื้อเจลมีขนาดเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ไม่เท่ากันในฟิลเลอร์แต่ละรุ่น โดย NASHA Technology เป็นเทคโนโลยีการสร้างเจลที่มีลักษณะคงรูป (Firm Gel) โดยได้มีการเติม BDDE ให้น้อยกว่า 1% เพื่อทำให้ ไฮยารูลอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ได้รูปหน้าที่สวย คมและดูมีมิติมากขึ้น อีกทั้งหลังฉีดก็ไม่เกิดการไหลของฟิลเลอร์ไปตามบริเวณต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแถมยังสามารถคงสภาพของฟิลเลอร์อยู่ในร่างกายของเราได้นานราว 6 – 12 เดือน หลังการฉีดเลยทีเดียว
  • OBT Technology หรือ Optimal Balance Technology เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตของฟิลเลอร์ Restylane ที่ผลิตมาภายหลังการผลิตแบบ NASHA ที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างตาข่ายซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Restylane ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์ที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เกาะเข้ากับเนื้อผิวได้ดี ให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเนียนดูเป็นธรรมชาติหรือเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อผิวบอบบาง เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่ยอมรับและถูกเลือกใช้ในวงการแพทย์อย่างแพร่ทั่วโลก มึจุดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น เนื้อเจลมีความคงตัว ยืดหยุ่น สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลายครอบคลุมหลกหลายปัญหาในการเติมเต็ม

ฟิลเลอร์ Restylan รุ่นที่เป็นนิยมใช้ในการเติมเต็ม มีด้วยกัน 3 รุ่น

  1. Restylane Perlane Lyft : เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชาหรือลิโดเคน (Lidocaine) ซึ่งจะนิยมใช้ฉีดใต้ตา ฉีดจมูก ฉีดคาง หรือทำฟิลเลอร์แก้มส้มขึ้นกับความต้องการของคนและการประเมิณของแพทย์ เพราะมีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดีที่สุด สามารถสลายได้เองและสามารถฉีดใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยมีอายุการสลายตัวของฟิลเลอร์อยู่ที่ประมาณ 12 เดือน
  2. Restylane Vital Light : ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เป็นอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยมที่อยู่ภายใต้ชื่อ Restylane เป็นฟิลเลอร์โมเลกุลเบา อนุภาคเล็ก เนื้อเนียนละเอียด สามารถแก้ไขจุดที่ปัญหาเล็ก ๆ ได้ เหมาะสำหรับช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส ฉีดเก็บรายละเอียดบริเวณที่เกิดริ้วรอย เช่น ใต้ตา ผิวชั้นตื้น ปาก โดยมีอายุการสลายตัวนานประมาณ 6-12 เดือน
  3.  Restylane Kysse : ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (Lidocaine) เหมือนกับฟิลเลอร์รุ่นอื่น เป็นหนึ่งในฟิลเลอร์ทั้งหมดในท้องตลาดที่ได้รับความนิยมในการใช้ฉีดบริเวณปาก ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์จะมีความเนียนละเอียด แต่มีความคงตัว สร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ให้ความชุ่มชื้น ความอวบอิ่มขึ้น โดยถูกออกแบบมาเพื่อสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ พร้อมกับช่วยปรับสีปากให้ดูสดใสขึ้นได้ หลังฉีดทันทีและจะสามารถคงผลลัพธ์ได้นานสุดถึง 12 เดือนเลยทีเดียว

ทั้งนี้รุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้จะเป็นรุ่นไหน ปริมาณเท่าไร แพทย์เจ้าของไข้จะเป็นผู้ประเมิน เลือกรุ่นที่มีประสบการณ์และสามารถตอบโจทย์ต่อปัญหาของคนไข้ได้ โดยเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุล ให้เหมาะกับตำแหน่งและสภาพผิวของคนไข้แต่ละคน

E.p.t.q Filler
e.p.t.q เป็น ฟิลเลอร์ที่กำลังเป็นนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยและราคาถูกเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด ซึ่ง e.p.t.q เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้ โดยมีการเริ่มจำหน่ายและผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ตั้งแต่ปี 2017 และจำหน่ายไปแล้วกว่าล้านกล่องทั่วโลก

e.p.t.q. ย่อมาจาก
E : Efficiency ประสิทธิภาพ
P : Potential ศักยภาพ
T : Technology เทคโนโลยีที่ทันสมัย
และ Q : Quality Efficiency ที่มีความหมายว่า คุณภาพที่ยอดเยี่ยม

ซึ่งให้ความโดยรวมว่า e.p.t.q ฟิลเลอร์มีประสิทธิภาพสูง ที่มีความเข้มข้นของ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid : HA) อยู่ที่ 24 mg/ml (มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ในทุกรุ่น ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาด และยังเป็นฟิลเลอร์ที่มีสารพิษตกค้างน้อย โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้ได้เนื้อฟิลเลอร์คุณภาพดี โมเลกุลเล็กละเอียด ยืดหยุ่น และยึดเกาะผิวได้ดี และถูกควบคุมการผลิตด้วยมาตรฐานระดับสากลทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีทั้งความหนืดและความยืดหยุ่น (Viscoelasticity) คงคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ยังสามารถให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ

จุดเด่นที่ให้ e.p.t.q. สามารถติดตลาดและได้รับความนิยมได้ คือ ความปลอดภัยและมีราคาที่เข้าถึงง่าย ควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดโดยผ่านมาตรฐานภายใต้การรับรองของ EP (European Pharmacopoeia) จึงสามารถรับรองได้เลยว่าผลิตด้วยส่วนประกอบที่ปลอดภัย ได้กรดไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่บริสุทธิ์มาก ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี ไร้สารเคมีตกค้าง มีค่า pH ที่เหมือนกับผิวหนังของมนุษย์ จากทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้ e.p.t.q. เป็นอีกหนึ่้งยี่ห้อฟิลเลอร์ที่กำลังมาแรงอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังใส่ใจในเรื่องของค่า BDDE อีกด้วย แล้วค่า BDDE คืออะไรล่ะ? ค่า BDDE หรือ (1,4-Butanediol diglycidyl ether) คือ สารที่ทำให้ฟิลเลอร์เกิดพันธะ หรือที่เรียกกันว่า คอสลิงค์ (Cross Linking) ยิ่งมีพันธะมากก็จะยิ่งคงรูปได้ดีตามไปด้วย ทำให้เนื้อฟิลเลอร์สลายช้า สามารถคงผลลัพธืได้ยาวนานยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะรูปแบบของพันธะที่แน่นหนาผลต่อความฟู ความหนืด และความยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน

ซึ่งในฟิลเลอร์ที่ต้องเน้นการคงรูป ยิ่งมีพันธะเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีเพราะถ้ายิ่งเติม BDDE มากก็จะยิ่งมีพันธะมากตาม แต่การเติมสาร BDDE ที่มากเกินไปมีข้อเสียอยู่ เพราะอาจส่งผลให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เนื่องอาจจะมี BDDE ที่ไม่สามารถจับกับ กรดไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ได้อยู่และเมื่อจับพันธะไม่ได้ก็ทำให้มีสาร BDDE ตกค้างอยู่ในฟิลเลอร์ได้มากและนั่นเองที่จะนำไปสู่สาเหตุของอาการแพ้ต่าง ๆ ที่ตามมา
โดยฟิลเลอร์ e.p.t.q จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ได้ทั้งหมด 3 แบบ ด้วยกัน ได้แก่ e.p.t.q. S 100, e.p.t.q. S 300, และ e.p.t.q. S 500

  1. e.p.t.q. S 100
    รุ่น e.p.t.q. S 100 เป็นรุ่นที่เนื้อนิ่มที่สุดของ e.p.t.q. ภายในกล่องยาจะบรรจุฟิลเลอร์ 1 มิลลิลิตร (ml.) จำนวน 1 เข็ม นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นตื้นๆ เพื่อปรับผิวให้เรียบ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นและยังสามารถเติมเต็มช่วยให้ผิวเรียบเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา ขมับ และปาก โดยจะสามารถคงผลลัพธ์ของการรักษาหรือมีระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์อยู่ที่ราว 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคน
  2. e.p.t.q. S 300
    รุ่น e.p.t.q. S 300 เป็นรุ่นที่มีเนื้อแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับ รุ่น S 100 ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 มิลลิลิตร (ml.) ซึ่งนิยมฉีดกันในบริเวณผิวหนังชั้นกลางและชั้นลึก เพราะเนื้อไม่แข็งมากแต่ก็ไม่ได้นิ่มจนเกินไป ยังสามารถคงรูปได้ มีแรงยกระดับปานกลาง เหมาะกับการเปลี่ยนรูปทรง เปลี่ยนรูปส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า เช่นการฉีดหน้าผาก ฉีดแก้ไขตาลึกโบ๋ ฉีดร่องแก้ม แก้รูปปาก เสริมขอบปาก โดยจะสามารถคงผลลัพธ์ของการรักษาหรือมีระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์อยู่ที่ราว 8 เดือนหรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคน
  3. e.p.t.q. S 500
    e.p.t.q. S 500 เป็นรุ่นที่เนื้อหนาแน่นที่สุดและแข็งที่สุดเมื่อเทียบกับทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา ภายในกล่องจะมีฟิลเลอร์ 1 เข็ม ขนาด 1 มิลลิลิตร (ml.) นิยมใช้ฉีดในผิวหนังชั้นลึกเพราะมีแรงยกมากที่สุดและมักใช้ฉีดเสริมแทนที่กระดูกที่หายไปที่มีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นจนทำให้ผิวหน้าหย่อนยานลงตามวัย โดยสามารถใช้ฉีดกราม กรอบหน้า คาง จมูก หรือแม้กระทั่งใต้ตาและร่องแก้มก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการประเมิณของแพทย์เจ้าของไข้ ผลลัพธ์ของการรักษาหรือระยะเวลาการสลายตัวของฟิลเลอร์จะสามารถคงอยู่ได้ที่ประมาณ 12 เดือนหรืออาจมากน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคน

โดยรุ่นของฟิลเลอร์ e.p.t.q. ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น e.p.t.q. S 100, e.p.t.q. S 300 หรือ e.p.t.q. S 500 จะมีรุ่นที่แยกย่อยออกไปอีก 2 รุ่น คือ รุ่นธรรมดาที่ปราศจาก ลิโดเคน (Lidocaine) หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่ายาชา และอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีส่วนประกอบของ ลิโดเคน (Lidocaine) หรือยาชา ปริมาณ 0.3% นั่นเอง

Neuramis Filler
Neuramis เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อฟิลเลอร์ดังสัญชาติเกาหลีใต้ ที่กำลังได้รับความนิยมไม่ต่างจากยี่ห้อ e.p.t.q. และแพร่หลายไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ และราคาที่เข้าถึงง่าย หลาย ๆ คนจึงนิยมใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มาฉีดเพื่อเติมเต็มใบหน้าให้ดูอิ่มฟู ได้สัดส่วนมากขึ้นแถมยังช่วยลดริ้วรอยให้กับใบหน้าได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis จึงเป็นอีกหนึ่งนี่ห้อฟิลเลอร์ยอดนิยมที่เป็นทางเลือกให้กับผู้ที่อยากปรับรูปหน้าและต้องการความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USDFA) และ คณะกรรมการยุโรปสำหรับคุณภาพของยาและการดูแลสุขภาพ (EDQM) ซึ่งถูกนำเข้าโดยบริษัท Medyceles ประเทศไทย

ปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มีด้วยกัน 3 รุ่น ซึ่งได้รับมาตรฐานการรับรองจากทั้ง KFDA จากเกาหลี, U.S.FDA จากสหรัฐอเมริกา EDQM จากยุโรป รวมถึง อย.ของประเทศไทยด้วย (อัปเดตปี 2565)

  1. Neuramis รุ่น Deep เป็นรุ่นแรกที่ผ่าน อย.ของประเทศไทย ถูกนำมาใช้เป็นรุ่นแรก เป็นรุ่นที่ไม่มียาชาผสม มีเนื้อเจลหนืดปานกลาง ให้ความอิ่มฟูและสามารถขึ้นรูปได้ง่าย สามารใช้ฉีดเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้าได้หลายจุด
  2. Neuramis รุ่น Deep Lidocaine มีลักษณะของเนื้อฟิลเลอร์เหมือนกับรุ่น Deep แต่มีความแตกต่างกันที่รุ่นนี้จะมีส่วนผสมของยาชาหรือ ลิโดเคน (Lidocaine) ปริมาณ 0.3% ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเจ็บขณะฉีดได้

โดยทั้งสองรุ่นที่กล่าวมามีระยะเวลาการสลายตัวอยู่ที่ราว 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนไข้แต่ละคน

  • Neuramis รุ่น Volume Lidocaine เนื้อเจลหนืดที่สุดในทุกรุ่นที่มี มีความยืดหยุ่น คงตัวได้ดี สามารถนำมาใช้เติมเต็มปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก และมีส่วนผสมของยาชา หรือ ลิโดเคน (Lidocaine) ปริมาณ 0.3% มีคุณสมบัติกลืนกับผิวได้ดี มีความยืดหยุ่น ขึ้นรูปได้สวย และสามารถคงผลลัพธ์ของการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 12 – 24 เดือน

ทั้งนี้จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าว การเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนและปริมาณเท่าไหร่นั่นถึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผลและชัดเจนที่สุดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการวินัจฉัยของแพทย์เจ้าของไข้รวมถึงเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ท่านนั้น ๆด้วย เพราะฉะนั้นการเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษาจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • 1 สัปดาห์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบ เช่น Ibruprofen, Ponstan, Naproxen เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำหลังการฉีดฟิลเลอร์ รวมถึง ยาหรือสารสกัดที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก จำพวก น้ำมันปลา กระเทียม วิตามินอี สารสกัดโสม ใบแปะก๊วย แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์อาหารประเภทเสริมคอลลาเจน
  • 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรงดใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว เช่น กลุ่มสาร Vitamin A เช่น Retin-A, Retinoid หรือกลุ่มกรดผลัดเซลล์ AHA, BHA และงดการขัดผิว แว็กซ์ขนหรือโกนขนในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันอาการอักเสบระคายเคืองการฉีดฟิลเลอร์
  • หากมีโรคประจำตัวและมียาที่ต้องทานอยู่เป็นประจำ ควรให้ข้อมูลกับแพทย์เจ้าข้องไข้เพื่อให้แพทย์ผู้ทำการรักษาได้วินิจฉัยและชี้แจงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของตัวคนไข้เองด้วย และ *หากมีประวัติแพ้ยาชา ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบด้วยเช่นเดียวกันเพราะการฉีดฟิลเลอร์ในบางตำแหน่งจำเป็นต้องใช้ยาชาในการฉีดและในบางยี่ห้อของฟิลเลอร์เองก็มีการผสมยาชาเข้ามาในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย*
  • ถ้าหากมีประวัติแพ้สาร ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) หรือเป็นผู้ที่มีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า หยุดไหลยาก รวมถึงกลุ่มคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นม ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อนจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยต่อตัวคนไข้เอง

ขั้นตอนการฉีด

  • เข้าปรึกษาแพทย์ ให้แพทย์เจ้าของไข้เป็นผู้ประเมินปัญหาและบอกถึงจุดที่ต้องการแก้ไข
  • แพทย์จะแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณที่เหมาะสมกับจุดที่จะฉีด (ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์)
  • ทำความสะอาดใบหน้า หากมีการแต่งหน้า ต้องทำการเช็ดเครื่องสำอางในจุดที่ต้องการฉีดออกก่อน
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะต้องแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า ในขั้นตอนนี้ตัวคนไข้สามารถขอตรวจสอบได้เลยว่าฟิลเลอร์นั้นเป็นของแท้หรือไม่
  • ประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
  • เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์ผู้ทำการรักษาจะแนะนำวิธีดูแลตัวเองในขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงข้อควรปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ อาจมีรอยแดงจากการวางเข็มซึ่งเป็นแผลที่เล็กมากและจะสามารถหายไปเองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 2-3 วัน หรืออาจมีอาการบวมหลังฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ ระยะเวลที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนอยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน หลังอาการบวมและรอยแดงลดลง
  • หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาและกดนวดในจุดที่ฉีด เพราะจากการเปิดแผลอาจส่งผลให้คนไข้มีอาการบวม แดง เขียวช้ำ ซึ่งเป็นปกติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในระยะเวลา 2-3 วัน
  • ทายาฆ่าเชื้อหลังการฉีดภายในระยะเวลา 48 ชม. เพื่อลดอาการบวม อักเสบ ของผิวควร
  • อยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด รวมถึงหัตถการประเภทการทำเลเซอร์ที่ให้ความร้อนลงไปในผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
  • พยายามขยับผิวในจุดที่ได้รับการฉีดให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนและเสียรูปทรงได้
  • งดทานอาหารบางประเภทที่สามารถส่งผลต่ออาการอักเสบ บวม และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้าลงได้ เช่น การดื่มแอลกอฮอร์ การทานปิ้งย่าง รวมถึงอาหารหมักดอง และอาหารรสจัดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดง ในช่วงหลังการฉีดประมาณ 48 ชม.
สำหรับคนไข้ที่ฉีดฟิลเลอร์ไประยะเวลาหนึ่งแล้วอาจพบอาการบวม เป็นก้อน ไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการฉีดส่งผลให้เกิดความกังวล สูญเสียความมั่นใจ หรือแม้กระทั่งกรณีใดก็ตาม จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสลายโดยแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ท่านอื่นที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งปกติแล้วสารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่ได้ผ่านมาตรฐานจะสลายไปได้เองตามธรรมชาติ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและเทคโนโลยีเฉพาะของแต่ละยี่ห้อ แต่ถ้าหากต้องการให้ฟิลเลอร์สลายทันทีก็สามารถใช้เอนไซม์ Hyaluronidase ช่วยละลายออกได้อย่างสมบูรณ์ 100% ซึ่งหน้าที่หลักของ Hyaluronidases จะพุ่งเป้าไปที่การจัดการย่อยสลาย Hyaluronan ( HA ) โดยเฉพาะเพียงอย่างเดียวไม่ส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อส่วนอื่น ๆ และหลังจากนั้นหากต้องการฉีดฟิลเลอร์กลับเข้าไปอีกก็สามารถฉีดได้ แต่ไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ใหม่ทันที ควรเว้นระยะเวลาไว้ 5-7 วัน เพื่อให้ยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์ให้หมดก่อน และเนื้อเยื่อเริ่มเข้าที่แล้วจึงปรึกษาหมอเพื่อฉีดฟิลเลอร์ใหม่อีกครั้ง
ไม่ต้องรอให้สลายก็ฉีดเพิ่มได้ การฉีดฟิลเลอร์หลายครั้งไม่ได้เป็นอันตราย หากฉีดด้วยสารที่สามารถย่อยสลายเองได้อย่างสารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูรอน แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ก็จะปลอดภัย สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องรอให้สลายก่อน เพราะธรรมชาติของตัวฟิลเลอร์สามารถอยู่ได้นานสูงสุดประมาณ 18-24 เดือน ไม่สามารถอยู่ได้อย่างถาวร หากฟิลเลอร์สลายออกไปหมด โครงสร้างใบหน้าก็จะกลับมาเป็นเดิม ฉะนั้นแล้่วก็สามารถมาเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพรูปหน้าเอาไว้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย
หลังจากที่ฟิลเลอร์ตัวเก่าสลายหมดไปแล้ว สามารถเปลี่ยนยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อเดิมเหมือนกับที่เคยฉีด แต่ทั้งนี้ก็ควรรับคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้ว่าปัญหาของคนไข้นั้น เหมาะหรือควรเลือกใช้ยี่ห้อใด รุ่นไหนดี เพราะฟิลเลอร์แต่ละตัวมีคุณสมบัติและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกันออกไป บางตัวเหมาะกับริ้วรอยร่องลึก บางตัวเหมาะกับรอยย่นเล็ก ๆ ฉะนั้นการปรึกษา
ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่เหมาะกับทุกจุดบนใบหน้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฟิลเลอร์ต้องมีหลากหลายยี่ห้อและแยกรุ่นกันออกไป เพราะแต่ละจุดบนใบหน้าก็เหมาะกับเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน แพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องประเมินว่าคนไข้แต่ละคนมีปัญหาตรงจุดไหน และเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคนไข้เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที อาการบวมจะหายไปเองได้ใน 7 – 14 วัน และหลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากอาการบวมหายดีฟิลเลอร์เข้าที่แล้วจะเริ่มเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น

การดูดไขมันไม่เป็นอันตรายและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับผู้ที่สนใจดูดไขมัน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ 
ลา เฟอร์ลี่ คลินิก ให้ข้อมูล รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้
ก่อนตัดสินใจดูดไขมัน

Reviews

To top