คลินิกดูดไขมัน ปรับรูปร่าง กำจัดส่วนเกินให้หุ่นสวยทุกมุมมอง

บริการดูดไขมันแขน ต้นขา และหน้าท้อง พร้อมปรับรูปร่างที่ La Ferly Clinic มั่นใจในผลลัพธ์ความเฟิร์ม ให้หุ่นสวยด้วยเทคนิคทันสมัยจากประเทศเกาหลี พร้อมช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยแพทย์ผู้ชำนาญที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน นอกจากนี้เรายังนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาใช้เพื่อช่วยให้คุณได้รูปร่างที่ต้องการโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน พร้อมดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกเคส

อย่างไรก็ตาม “การดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนัก” เนื่องจากปริมาณของที่ไขมันที่ดูดออกมามีน้ำหนักประมาณ 2-4 กิโลกรัมเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดกว่าน้ำหนักที่ลดลงนั้น คือสัดส่วนที่เล็กลงทันที และกระชับขึ้นได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง

ใครบ้างที่เหมาะกับการดูดไขมัน ?

ผู้ที่มีความกังวลในสัดส่วน หรือรูปร่างของตัวเอง เช่น มีไขมันสะสมในบางจุดที่ไม่สามารถลดได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว ผู้ที่มีระบบการเผาผลาญต่ำหรือไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย รวมถึงผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณเฉพาะ เช่น หน้าท้อง แขน ต้นขา ทำให้รูปร่างไม่สมส่วนทำให้แต่งตัวแล้วไม่มั่นใจ

รวมถึงผู้ที่มีไขมันสะสมในบางจุดมากกว่าส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย สาเหตุเกิดได้จากพันธุกรรม หรือพฤติกรรมการกิน ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีหน้าท้องแบนราบแต่ขาใหญ่, ขาใหญ่แต่แขนเล็ก, ตัวผอมแต่เหนียงเยอะ ดังนั้นการดูดไขมันเฉพาะส่วนจึงเป็นคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นการดูดไขมันหน้าท้อง สร้างร่องสิบเอ็ด หรือการดูดไขมันแขน ดูดไขมันต้นขา ก็จะช่วยลดสัดส่วนเฉพาะจุดให้แก่ผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ได้อย่างตอบโจทย์

ใครบ้างที่ “ไม่สามารถดูดไขมัน” ?

ผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนี้ โรคเส้นเลือดหัวใจ, โรคเส้นเลือดสมอง, โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้, โรคไทรอยด์ที่ยังควบคุมระดับไม่ได้

โดยผู้ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวนี้ โดยรวมจะถือเป็นผู้ที่มีภาวะหัวใจที่ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มีความเสี่ยงสูง ไม่ควรเข้ารับการผ่าตัดดูดไขมันแขน ขา หรือหน้าท้อง เพราะเนื่องจากระหว่างทำการผ่าตัด แพทย์มีการฉีดอะดรีนาลีน (Adrenaline) เข้าไปในชั้นไขมันเพื่อหดตัวเส้นเลือด ทำให้เลือดออกน้อยขณะดูดไขมัน ซึ่งตัวยานี้ จะไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ทำงานหนักขึ้น อาจส่งผลทำให้คนไข้ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ จนกระทั่งหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายได้

ไขมันแบบไหนที่สามารถดูดออกได้ ?

1. ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)

เป็นไขมันที่พบได้บริเวณใต้ผิวหนังของเรา หากมีไขมันใต้ผิวหนังสะสมอยู่ตามร่างกายในเกณฑ์ปกติ จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ แต่หากมีไขมันสะสมอยู่เยอะมากเกินไป อาจทำให้อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ มีโอกาสก่อเกิดโรคเบาหวาน, ความดันสูง, โรคหัวใจ, ภาวะกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย และส่งผลทางด้านกายภาพ ทำให้ไม่ได้สัดส่วนรูปร่างตามที่ต้องการ ไขมันชนิดนี้จะสะสมอยู่ระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อ สามารถใช้วิธีดูดไขมันหน้าท้องออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

2. ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)

ไขมันชนิดนี้เกิดจากการสะสมสารอาหารประเภทไขมันที่เข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมากเกินไป ได้แก่ อาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต, น้ำตาล เมื่อร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดในแต่ละวัน ก็จะแปรรูปเป็นไขมัน และเข้าไปเกาะติดอยู่ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น กระเพาะอาหาร, ลำไส้, ตับ, ไต รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้อง เมื่อเวลาผ่านไป ไขมันชนิดนี้ก็จะมีความแข็งตัวมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งดันหน้าท้องให้ยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด หรือมีลักษณะท้องป่อง ไขมันในช่องท้องอยู่ใต้กล้ามเนื้อ บริเวณอวัยวะภายในของร่างกาย ซึ่งไขมันชนิดนี้ “ไม่สามารถดูดออกมาได้” เนื่องจากจะทำให้เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน

ดูดไขมันหน้าท้อง ประเภทไขมันที่สามารถทำได้

นวัตกรรมเครื่องดูดไขมัน

นวัตกรรมเครื่องดูดไขมันหน้าท้อง แขน ขา ด้วยเครื่อง Vaser

1. เครื่องดูดไขมัน Vaser

คลินิกของเราเลือกใช้เครื่อง Vaser ในโปรแกรม Liposuction เพราะเป็นนวัตกรรมเครื่องดูดไขมันที่มีพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ทำหน้าที่เข้าไปสลายไขมันทำให้ก้อนไขมันแตกตัวออก และสลายกลายเป็นของเหลวใต้ผิวหนัง คลื่นอัลตราซาวนด์เป็นคลื่นพลังงานที่มีความปลอดภัยสูง และนิยมใช้ในวงการแพทย์มานานหลายปี ทั้งในเรื่องความงามและการรักษาโรค

หลักการทำงานของเครื่อง Vaser

เครื่องดูดไขมัน Vaser ช่วยให้แพทย์ดูดไขมันออกมาได้อย่างนุ่มนวล และง่ายดาย ทำให้การสลายไขมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคลื่นเสียงความถี่จาก Vaser จะเข้าไปสลายไขมัน และดูดไขมันที่แตกตัวแล้วออกมา โดยที่เส้นเลือดและเซลล์ประสาทและเนื้อเยื่อเซลล์รอบข้างได้รับความเสียหายน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการส่งผลกระทบกับเนื้อเยื่อบริเวณอื่น เช่น เส้นเลือด เส้นประสาท จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อย และลดระยะเวลาในการดูดไขมันได้เป็นอย่างดี 

เครื่อง Vaser สามารถดูดไขมันได้ในปริมาณมาก แทบจะไม่เหลือไขมันตกค้าง เห็นผลเร็วและชัดเจน ลดปัญหาเรื่องผิวเป็นโพรง เพราะเนื้อเยื่อคอลลาเจนพยุงผิวไม่ได้ถูกทำลายไป ทำให้คนไข้สามารถฟื้นตัวได้ดี แผลหายได้อย่างรวดเร็ว และมีรอยช้ำน้อยมากหลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ข้อดีของเครื่องดูดไขมัน Vaser

  • คลื่น Ultrasound สามารถเข้าไปสลายไขมันได้ดี
  • พลังงานเสถียร ผิวหนังไม่เป็นคลื่นหลังดูดไขมัน
  • สามารถสลายไขมันได้ในปริมาณมาก
  • เครื่องพลังงาน Ultrasound ไม่ทำลายเส้นเลือด
  • แผลมีขนาดเล็ก และลดอาการเขียวช้ำ
  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
  • สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ปกติหลังกลับจากคลินิกดูดไขมัน

เครื่อง Body Tite ดูดไขมันท้อง แขน ขา ครอบคลุมถึงใบหน้า

เครื่องดูดไขมัน Body Tite

Body Tite คือเครื่องดูดไขมันคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency) ที่ใช้เทคโนโลยี RFAL & trade (Radio – Frequency Assisted Liposuction) อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมสำหรับคลินิกดูดไขมันชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ

โดยเทคโนโลยี RFAL & trade สามารถทำงานได้รวดเร็ว ไขมันที่ดูดออกมามีเลือดปนน้อยมาก ๆ เพราะสามารถห้ามเลือดไปด้วยขณะทำ เพื่อลดการสูญเสียเลือด ด้วยอุปกรณ์ดูดไขมันที่มีขนาดเล็กมาก และสามารถปรับระดับความลึกได้ เพื่อเข้าไปทำลายเฉพาะเซลล์ไขมันบริเวณที่ต้องการโดยตรง โดยไม่ทำลายเส้นประสาทหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ พร้อมทั้งสามารถช่วยกระตุ้น Collagen ในชั้นใต้ผิวทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษายกกระชับ (Tightening) และเนียนเรียบตึงขึ้น ไม่เกิดปัญหาผิวขรุขระเป็นโพรงในคราวเดียวกัน

หลักการทำงานของเครื่องดูดไขมัน Body Tite

ไม่ใช่แค่ดูดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ผิวที่ดูดไขมันออกไปแล้วกลับมาเรียบ กระชับตึงขึ้นด้วย เพราะ Body Tite ใช้พลังงาน RF ที่ไม่เพียงแต่ลงไปสลายผนังเซลล์ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อน แต่ยังลงไปเปลี่ยนโครงสร้างและปัจจัยทางชีวเคมีในบริเวณนั้น รวมถึงเปลี่ยนโครงสร้างการไหลเวียนของน้ำเหลือง ทำให้ขณะที่กำลังสลายไขมันก็จะได้ผลของการกระชับผิวหนังไปพร้อม ๆ กัน และขจัด Cellulite ออกไปด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือเดียวในการดูดไขมันที่สามารถฟื้นฟูคอลลาเจน ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ยากกว่าการดูดไขมันแบบเดิม นอกจากนี้ยังสามารถทำที่ใบหน้าได้อย่างปลอดภัย โดยจะเรียกว่าโปรแกรมเครื่อง Face Tite

Body Tite สามารถกำจัดไขมันได้หลายจุด เช่น ดูดไขมันหน้าท้อง สะโพก ก้น หลัง ดูดไขมันต้นขา เข่า ดูดไขมันแขน คอ สีข้างและหน้าอก เป็นต้น ด้วยเทคโนโลยีนี้เอง ทำให้ระบบหลอดเลือด ระบบเซลล์ประสาท และเนื้อเยื่อข้างเคียงเกิดความเสียหายน้อยลง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การหดตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อชั้นบาง ๆ ทำให้ผิวหนังทั้งหมดกระชับ ไม่หย่อนคล้อย ไม่เป็นผิวส้ม แผลเล็ก และสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ตามปกติ 

ข้อดีของเครื่องดูดไขมัน Body Tite

  • ดูดไขมันหน้าท้อง แขน ขา ครอบคลุมใบหน้า พร้อมยกกระชับได้ในครั้งเดียวกัน
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
  • ช่วยทำให้ผิวที่ดูดไขมันออกไปแล้วกลับมาเรียบ กระชับตึงขึ้น
  • โอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ยากมากหลังดูดไปแล้ว

เครื่องดูดไขมัน Body Jet

เครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำ (Water-Jet Assisted Liposuction ) ทำให้ไขมันที่เกาะตามเนื้อเยื่อหลุดออก และดูดออกอย่างนุ่มนวล วิธีนี้จะไม่ทำร้ายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากเป็นการใช้พลังงานน้ำในการดูดไขมันซึ่งมีความอ่อนโยนมาก นอกจากนี้เซลล์ไขมันที่ดูดออกมายังไม่ตาย แพทย์สามารถนำไขมันเหล่านี้ไปใช้ในการเติมเต็มบริเวณอื่น ๆ ที่คนไข้ต้องการได้

เครื่องดูดไขมัน Body Jet ที่ใช้เทคโนโลยี Water Jet ที่ฉีดพ่นน้ำเข้าไปถนอมเซลล์ไขมันอย่างอ่อนโยน ช่วยในการแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ ที่สำคัญนั้นไม่ทำให้เกิดพังผืด มีผิวเรียบเนียน

หลังจากดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet ไขมันที่ถูกแยกออกจากเนื้อเยื่อเป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์คุณภาพสูง พลังน้ำที่อ่อนโยนนั้นทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิต เพราะไขมันที่ดูดออกมานั้นได้รับผลกระทบที่น้อยที่สุด เซลล์ไขมันที่ได้มานั้นมีคุณภาพดีมากกว่า 90% และยังคงเต็มไปด้วยสเต็มเซลล์ที่มีคุณค่าอย่างมหาศาล จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่นการนำไปเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมไขมันหน้าอก, สะโพก หรือฉีดปรับแต่งรูปหน้า ทดแทนฟิลเลอร์ หรือเพาะเลี้ยงเสต็มเซลล์ เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย สุขภาพ และอวัยวะต่าง ๆ ภายใน ให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ยืดเวลาการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่าง ๆ

การดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet ดีอย่างไร?

1. ดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet มีการพ่นน้ำเพื่อแยกชั้นไขมันออกจากเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันเส้นประสาทและเส้นเลือด ในขณะดูดไขมัน เพราะฉะนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด เส้นประสาท หรือเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ ไม่ทำให้เกิดความบอบช้ำของผิว หรืออาการบวม และเสียเลือดในปริมาณน้อยมาก


2. ดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet เป็นกระบวนการดูดไขมันแบบระบบปิด ที่ช่วยทำให้ไขมันที่ดูดออกมาไม่กระทบกับอากาศภายนอกเหมือนเครื่องทั่วไป จึงไม่มีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อีกทั้งไขมันที่ได้มายังเป็นไขมันที่มีคุณภาพสูง เพราะฉะนั้นการนำไขมัน ไปใช้นั้นแทบจะไม่มีการสลายตัว

3.ดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet มีการพ่นน้ำอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล จะทำให้ง่ายในการดูดไขมัน จึงใช้ระยะเวลาในการดูดไขมันที่สั้นลง ทำให้เกิดการบอบช้ำน้อย ส่วนใหญ่ผู้ที่รับการดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet จะใช้เวลาในการพักฟื้นน้อยมาก สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติในทันที

สรุปข้อดีของการดูดไขมันด้วยเครื่อง Body Jet

  • เป็นเครื่องดูดพลังน้ำที่มีความอ่อนโยน
  • ไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ
  • สามารถแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ได้ดี
  • เจ็บน้อย พักฟื้นน้อยมาก
  • เซลล์ไขมันที่ดูดออกมายังไม่ตาย และเก็บในระบบปลอดเชื้อ
  • สามารถนำไขมันที่ดูดออกมาไปเติมในบริเวณที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไขมันที่ดูดออกมาไม่สลายตัว และเป็นไขมันที่มีคุณภาพ
  • ไม่ทำให้ผิวหนังเป็นคลื่น เนื่องจากไม่ได้มีการทำร้ายเนื้อเยื่อใกล้เคียง
  • แผลเล็ก หลังทำสามารถกลับบ้านได้ทันที

ผลข้างเคียงหลังดูดไขมัน

  • อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะบ้าง เนื่องจากร่างกายเสียน้ำและเลือดปริมาณมาก
  • ผิวหนังมีอาการบวมหรือช้ำบริเวณที่ดูดไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ผิวบาง อย่างการดูดไขมันแขนหรือต้นขา 
  • บริเวณที่ดูดไขมันอาจมีลักษณะก้อนแข็งหรือเป็นไตใต้ผิวหนัง หากใช้เครื่องดูดพลังงานความร้อน สามารถแก้ไขได้ด้วยการนวดเครื่อง Venus Freeze

วิธีการดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

  1. ทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบจนหมด
  2. ทำความสะอาดแผลทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ด้วย Cotton bud ชุบด้วยน้ำเกลือเพื่อให้แผลสะอาด ไม่มีคราบเลือดเกาะ ป้องกันแผลติดเชื้อ งดให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ 7 วัน
  3. งดรับประทานอาหารประเภทของหมักดอง และอาหารรสจัด งดดื่มแอลกอฮอล์, บุหรี่ อย่างน้อย 1 เดือน
  4. ดื่มน้ำในปริมาณมาก อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และให้ร่างกายขับยาชาออกมาในรูปแบบของปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
  5. ภายใน 24 ชั่วโมง หลังดูดไขมัน น้ำ (ยาชา และน้ำเกลือ) อาจซึมออกจากร่างกายผ่านแผลผ่าตัดได้เป็นเรื่องปกติ สามารถเช็ดตัวได้ โดยการนำพลาสเตอร์แบบกันน้ำมาปิดปากแผลก่อนทำความสะอาดร่างกาย แต่ไม่แนะนำให้อาบน้ำ
  6. สวมใส่ชุดกระชับ หลังการทำ 1 วัน สวมใส่วันละ 22-24 ชั่วโมง หรือทั้งวัน (ถอดออกเฉพาะเวลาอาบน้ำ) ในช่วง 1 เดือนแรก เดือนที่ 2-3 ควรใส่ชุดกระชับอย่างน้อยวันละ 12 ชม.
  7. หลังดูดไขมันประมาณ 2 สัปดาห์ สามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ ได้ หากต้องการออกกำลังกายหนัก สามารถทำได้หลังดูดไขมันไปแล้ว 1 เดือน
  8. พบแพทย์ทุกครั้งที่มีนัด คือ หลังทำ 7 วัน (ตัดไหม), 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี เพื่อตรวจเช็กความผิดปกติ และติดตามผลหลังทำ

J Plasma นวัตกรรมยกกระชับที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน
J-Plasma คือ นวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยยกกระชับผิวและสัดส่วน ที่ผสมผสานพลังงานอันทรงประสิทธิภาพระหว่างพลาสมาฮีเลียม และพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF)

โดยหลักการทำงานคือ เมื่อแพทย์ทำการสอดท่อพลังงานขนาดเล็ก ๆ เข้าไปใต้ผิวหนัง และพลังงานจะถูกปล่อยในจุดที่ต้องการ โดยก่อให้เกิดความร้อนขึ้นที่อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่สามารถทำให้เส้นใยที่ทำหน้าที่ยึดผิว (Fibroseptal Network) เนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมไปถึงเนื้อเยื่อที่เป็นโพรงช่องว่างอยู่จะหดตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหนังกระชับขึ้นทันที โดยท่อพลังงานจะลดอุณหภูมิลงเองอัตโนมัติให้เหลือ 41 องศาเซลเซียสเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบข้างเกิดความเสียหาย

เทคโนโลยี J-Plasma ได้รับรองมาตรฐานและความปลอดภัยจากสำนักงานอาหารและยาทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และในประเทศไทย (อย.) ซึ่งเทคโนโลยี J-Plasma สามารถใช้ได้กับบริเวณต่าง ๆ ตามร่างกาย อาทิ ต้นแขน รักแร้ หน้าท้อง หลัง เอว ขา หรือน่อง

J-Plasma เหมาะกับใครบ้าง?
สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือมีลักษณะผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ การทำ J-Plasma ควบคู่ไปกับการดูดไขมัน จะยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น เพราะหลังจากดูดไขมันไปแล้ว จะเกิดช่องว่างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เมื่อใช้พลังงานพลาสมาฮีเลียมจะทำให้เนื้อเยื่อยึดติดเข้าหากัน และเป็นการกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจน จนทำให้ผิวหนังมีความกระชับมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นได้ทั้งการสลายไขมัน และกระชับผิวให้เรียบเนียนเต่งตึงไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ J-Plasma ยังเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยหลังจากคลอดบุตร และผู้ที่มีปัญหาผิวไม่กระชับ จากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการทำ J-Plasma เป็นการเปิดแผลเพียง 2-3 มิลลิเมตร “ไม่ใช่การผ่าตัด” จึงทำให้สามารถฟื้นตัวได้ไว นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถยกกระชับผิวหนังได้อย่างอ่อนโยน ตรงจุด เห็นผลได้ทันที และมีความปลอดภัย สามารถใช้ J-Plasma ในการกระชับทุกจุดทั่วร่างกาย

*กระชับแขนให้เรียวเล็กด้วย J-Plasma หมดปัญหาแขนไม่กระชับ ต้นแขนหย่อนคล้อย หรือมีการสะสมของไขมันส่วนเกินมาก ไม่กล้าใส่เสื้อกล้ามโชว์แขน ขาดความมั่นใจ เทคโนโลยี J-Plasma จะช่วยกระชับต้นแขนให้เรียวเล็กและกลับมามั่นใจอีกครั้ง

*กระชับหน้าท้องด้วย J-Plasma เทคโนโลยี J-Plasma จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้อง เอว หรือคนที่คลอดบุตรแล้วมีปัญหาหน้าท้องลาย หน้าท้องเป็นผิวส้ม จะช่วยให้กระชับมากขึ้น รวมถึงคนที่ออกกำลังกายผิดวิธี ไขมันลดลงรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย หรือดูดไขมันแล้ว แต่ไม่ได้ยกกระชับผิว ก็สามารถทำได้เช่นกัน

*ลดขาใหญ่ ต้นขาย้วยด้วย J-Plasma ปัญหาต้นขาย้วย ไม่กระชับ ใส่กางเกงแล้วอึดอัด ขาเบียด การทำ J Plasma จะช่วยให้ต้นขากระชับหมดปัญหาต้นขาย้วย ต้นขาใหญ่ ลดขาใหญ่ ต้นขาหย่อนคล้อย โดยไม่ต้องผ่าตัดยกกระชับต้นขา

ผิวจะยกกระชับขึ้นเนื่องจากผิวจะหดตัวลงประมาณ 30% และจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน ผิวยกระชับ เรียบเนียน ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์ที่ได้นั้น จะคงอยู่ในระยะยาวและไม่จำเป็นต้องกลับมาทำซ้ำ

ข้อดีของการทำ J-Plasma

  • แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว
  • รักษาได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด ไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
  • ไม่ต้องผ่าตัด
  • ผิวกระชับตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
  • แผลเล็ก หลังทำสามารถกลับบ้านได้ทันที

J-Plasma แตกต่างจากการผ่าตัดยกกระชับแบบเดิมอย่างไร?

  • เห็นผลทันที
  • สามารถใช้ควบคู่ไปกับการดูดไขมัน เพื่อกำจัดไขมันเฉพาะจุดและกระชับผิวหนังได้ในคราวเดียวกัน
  • ทำครั้งเดียวเห็นผลลัพธ์ทันที ไม่ต้องกลับมาทำซ้ำ
  • ไม่ต้องผ่าตัด เปิดแผลเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร ลดการเกิดอาการบวม-ช้ำ จึงทำให้ฟื้นตัวได้ไว

นอกจากนี้ BMI ยังส่งผลต่อปริมาณยาที่แพทย์จะใช้วางแผนการผ่าตัดให้เหมาะสม และปลอดภัยกับคนไข้มากที่สุด เช่น ปริมาณยานอนหลับ, ยาแก้อักเสบ, ยาแก้ปวด ดังนั้นการแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและชัดเจนกับแพทย์ผู้ดูแลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ค่า BMI (Body Mass Index) คือค่าชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) และส่วนสูง (เซนติเมตร)

วิธีการคำนวณ BMI น้ำหนักตัว (กก.) ÷ ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง

เช่น น้ำหนัก 75 กิโลกรัม ÷ ส่วนสูง 1.80 ม. (181 ซม.) ยกกำลังสอง
= 75 / 3.24 BMI เท่ากับ 23.1

เกณฑ์การแปลผลค่า BMI

  • BMI น้อยกว่า 18.5 อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อย ค่า BMI ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
  • BMI อยู่ที่ 18.5-22.90 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • BMI อยู่ที่ 23-24.90 อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกิน ค่า BMI สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
  • BMI อยู่ที่ 25-29.90 อยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ 1
  • BMI เกินกว่า 30 ขึ้นไป อยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ

การดูดไขมันไม่เป็นอันตรายและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับผู้ที่สนใจดูดไขมัน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ 
ลา เฟอร์ลี่ คลินิก ให้ข้อมูล รวมถึงคำแนะนำต่าง ๆ อย่างละเอียด เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคนไข้
ก่อนตัดสินใจดูดไขมัน

Reviews

To top